เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดถึงพุทธศาสนานะ เราพูดว่าพุทธศาสนา พุทธะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ทุกคนอยากมีปัญญานะ อยากจะมีความคิด อยากเฉลียวฉลาด ถ้ามีความคิด มีความเฉลียวฉลาด มันเกิดมาจากการกระทำ

ถ้ามันเกิดจากการกระทำนะ เมล็ดพันธุ์พืชทุกชนิด เมล็ดพันธุ์พืชที่แข็งแรง เมล็ดพันธุ์พืชปานกลาง เมล็ดพันธุ์พืชที่ด้อยคุณภาพ มันลงไปปลูกแล้วมันจะไม่เจริญงอกงาม ปลูกแล้วมันโตขึ้นมาไหม.. โต ดูสิ ดูอย่างพันธุ์พืช อย่างกล้าไม้นี่ เวลาเขาไปลงกัน.. มันโตไหม.. มันโต แต่มันให้ผลผลิตไหม.. มันไม่ให้ผลผลิต ถ้ามันไม่ให้ผลผลิตเพราะอะไร.. เพราะมันด้อยคุณภาพ

นี่เหมือนกัน เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนเกิดมาเหมือนกัน คนเหมือนกัน แต่คนมันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะเหตุใดล่ะ มันไม่เหมือนกันเพราะนี่ นี่การกระทำของเรา การทำมาเห็นไหม เราเกิดจากพ่อจากแม่ ชาติตระกูลน่ะแน่นอน แต่สิ่งนี้เป็นสายบุญสายกรรม

แต่จิตใจของเราล่ะ ถ้าจิตใจของเรา เรามีหลักเกณฑ์ของเรา เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา คนจะมีปัญญานะเกิดจากการภาวนา เกิดจากว่าพุทโธๆ นี่ เวลาเราภาวนา พุทโธๆ กัน พุทโธเป็นสมถะ พุทโธจะไม่มีเกิดปัญญา เราอยากใช้ปัญญากันเห็นไหม ปัญญาอย่างเรานี่ ปัญญาทางโลก

ถ้าปัญญาทางโลกนี่ เราใช้ปัญญาของเราไปก่อน เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากอวิชชา แต่ถ้าเกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากรากฐานของธรรม ถ้าเกิดจากรากฐานของธรรมเห็นไหม มันย้อนกลับมานะ เวลาเรามีปัญญากัน

ดูสิ เขาคิดโครงการการพัฒนากัน โครงการที่ใช้ปัญญานี่เราทึ่งมากเลย ว่าเขาคิดกันได้นี่มหาศาลเลย แต่คนคิดคนนั้นนะ เขาคิดออกมาแล้วนะ เขาไม่รู้จักตัวเขาเองนะ เวลาเราคิดถึงหน้าที่การงาน เขาเครียดนะ เพราะถ้าเคยทำงานชิ้นหนึ่ง งานต่อไปต้องดีกว่า พัฒนาขึ้นไปมากกว่าชิ้นที่แล้ว ชิ้นที่แล้ว เห็นไหม นี่สิ่งนี้บีบคั้นเขา

แต่เวลาสัมมาสมาธิ เวลาเราเกิดปัญญาของเราขึ้นมา ปัญญาของเรานี่ มันรู้เท่าทันตัวตนของเรานะ มันยิ่งรู้มากเท่าไร มันยิ่งปล่อยวางมากเท่านั้นนะ ปล่อยวางหมายความว่าอย่างไร มันปล่อยวางความกังวลไง มันปล่อยความบีบคั้นของเรา มันไม่มีอะไรบีบคั้น เพราะมันรุกเข้ามานี่ พอมันรุกเข้ามานี่ สิ่งนั้นเป็นเรื่องของสัจธรรม

คำว่าสัจธรรม.. สัจธรรมมันเกิดจากเรา เพราะว่าปัญญานี่ ปัญญามันมีหลากหลาย ขั้นของปัญญาเห็นไหม ครูบาอาจารย์ก็บอก เวลาท่านทำความสงบของใจนี่ มันเหมือนน้ำล้นฝั่ง น้ำนี่เราใส่ภาชนะ มันเต็มแล้วมันต้องล้นของมันไป เพราะนี่ขั้นของความสมถะ ขั้นของสมาธิ แต่ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต

คำว่าไม่มีขอบเขตนี่ ปัญญาหยาบ ปัญญาละเอียด ดูปัญญาสิ เวลาเราคิดกันเรื่องปัญญานี่ เรามองถึงปัญญาต่างๆ นี่ เราจะมองแตกต่างหลากหลายมากเลย บางคนมุมมองคับแคบ ก็จะมองได้แค่นั้น บางคนมองได้ลึกซึ้งกว่า

นี่พูดถึงในภวาสวะภพ นี่คือโลกียปัญญานะ แล้วถ้าถึงโลกุตตรปัญญาล่ะ เวลาปัญญารื้อค้นกิเลสขึ้นไปนี่ ปัญญาของพระโสดาบัน ปัญญาของพระสกิทาคามี ปัญญาของพระอนาคามี ปัญญาของพระอรหันต์ ลึกซึ้งแตกต่างหลากหลายนัก

ถ้าไม่ลึกซึ้งแตกต่างหลากหลายนี่ ทำไมมีบุคคล ๘ จำพวกล่ะ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล นี่บุคคล ๘ จำพวก บุคคลคือตัวจิต นี่สัตตะผู้ข้องคือจิตเรานี่เป็นผู้ข้อง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นต่างๆ นี่ จิตนี่มันยึดถือสถานะนั้นๆ เห็นไหม นี่ผู้ข้อง แล้วมันพัฒนาของมันขึ้นไป นี่กัลยาณปุถุชน

ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล บุคคล ๘ จำพวก สถานะไง สถานะของจิตมันพัฒนาของมันไป แล้วสิ่งนี้ใครรู้ได้ สิ่งที่จะรู้ได้นี่ เขารู้ได้ด้วยสัจจะความจริงนะ รู้ได้ด้วยสัจจะเห็นไหม ผู้ที่อยู่ในสถานะเดียวกัน พูดถึงสิ่งที่อยู่ในสถานะเดียวกันจะเข้าใจด้วยกันได้ทันทีเลย ผู้ที่อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าพูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

พูดถึงเรื่องปัญญาเห็นไหม นี่เหมือนวุฒิภาวะการพัฒนา นี่มันเหลื่อมล้ำกัน นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของคนมันเหลื่อมล้ำกัน นี่พูดถึงปัญญาไง เราอยากมีปัญญา เราอยากสร้างปัญญา เราอยากจะมีปฏิภาณไหวพริบ นี่มันเป็นการกระทำของเรา เรารักษาตัวเรา เรามีสติสัมปชัญญะกับตัวเรา นี่ล่ะคือเกิดปัญญา ปัญญามันรับรู้ตัวเรานะ ถ้ารอบรู้ตัวเรานะเห็นไหม เวลาทางโลกนี่ เขาต้องพัฒนา เขาต้องรอบรู้สิ่งต่างๆ เขารู้ทางวิชาการ รู้ขนาดไหนมันเป็นเรื่องโลก

เรื่องโลกเห็นไหม ดูสิ มันคนละมิติ ดูสิ เวลาคนตายไปๆ เกิดเป็นเทวดานี่ ความรู้มันแตกต่างแล้ว ความรู้อีกสถานะหนึ่ง สถานะนั้นมันไม่ได้ใช้ปัญญาวิทยาศาสตร์แบบนี้ เขาใช้ประโยชน์โดยทิพย์ของเขา โดยบุญกุศลของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ไปเกิดเป็นต่างๆ เห็นไหม นี่ปัญญาของเขา เขาพัฒนาของเขา เวลาเวียน มาในผลของวัฏฏะ เวลาคนเกิดมาจากเทวดา อินทร์ พรหม มาเกิดเป็นมนุษย์นี่ นี่สิ่งที่เป็นปัญญา เขาจะสุขุมกว่า เขาจะมีคัมภีรภาพกว่า

แต่ถ้ามันเกิดมาจากนรกอเวจี มันจะมีความหยาบของมัน มีความกระด้างของมัน เพราะมันผ่านภพผ่านชาติมา เวลาเรานึกอดีตชาตินี่ สิ่งที่อดีตชาติ ชาติที่มันพึ่งผ่านมาใกล้ๆ นี่ มันมีความรับรู้ มันเป็นจริตนิสัย มันเป็นความเคยชินของใจ

แต่ในปัจจุบันนี้เห็นไหม ถ้าเราจะรักษา เราจะดูแลใจของเรานี่ เราจะทำอย่างไร นี่พูดถึงปัญญา ถ้าพูดถึงปัญญาเห็นไหม ดูสิ ปัญญาทางโลก ถ้ามีปัญญากัน เราจะไม่เป็นเหยื่อของเขา เวลาเป็นเหยื่อของเขานี่กระแสสังคม

ถ้าเราไม่มีจุดยืนของเรานี่ อย่างเช่น การโฆษณาสินค้าต่างๆ เห็นไหม ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เราต้องพิจารณาของเรา มันเป็นประโยชน์กับเราจริงหรือเปล่า เราจำเป็นต้องใช้ไหม สิ่งไหนเป็นความจำเป็น

ดูพระสิ พระนี่มีผ้าไตร มีผ้า ๓ ผืน มีบาตร บาตรคืออาหาร คือบิณฑบาตเอาแต่ตามมีตามได้ มียารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ปัจจัย ๔ นี่ถ้ายืนอยู่บนปัจจัย ๔ มันพอใช้ของมัน

แต่ของเรานี่ เรามีความจำเป็นพอใช้ไหม มันมีบวกด้วยตัณหาทะยานอยากของเรา นี่ด้วยหน้าตา ด้วยศักดิ์ศรี ถ้าคนเราไม่มีตรงนี้บวกขึ้นมา ชีวิตเราจะมีความสุขมาก เราจะไม่เป็นเหยื่อของเขา

เหมือนนักกีฬาเลย คนที่อยู่ในสนามนั้นเหนื่อยมาก ต้องแข่งกีฬาตลอด คนที่เป็นผู้ดูอยู่ขอบสนามเขาไม่เหนื่อยนะ เขาก็มองผู้เล่นกีฬา แล้วก็เห็นด้วยว่านักกีฬานี่มีความบกพร่องอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตของเราอยู่ในกระแส อยู่กับกระแสโลก เราเป็นเหมือนนักกีฬา ก็ต้องแข่งกับเขาตลอดไปนะ เราเหนื่อยมาก แต่ถ้าเรามายืนอยู่ขอบสนาม เราไม่ได้ไปเล่นกับเขา คือว่าเรามีสติปัญญาของเรา

ชีวิตของเรานี่ เราควบคุมของเราได้ เราไม่ไปกับเขานี่ พอไม่ไปกับเขานี่ปัญญามันเกิด คำว่าปัญญาๆ ถ้าปัญญามันเกิดนี่ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารับรู้ในพุทธศาสนานะ ปัญญาของเราคือสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง

แต่ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร คือปัญญารอบรู้ในความคิดเราไง สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งนี่ แล้วมีปัญญา ปัญญามันรอบรู้ความคิดของเรา ถ้ารอบรู้ความคิดของเรานี่ เพราะปัญญาทางโลก ปัญญาความคิด สังขาร ความปรุง ความแต่งเห็นไหม คิดเท่าไรมันก็เป็นเรา บวกเราเห็นไหม นี่ตัณหาทะยานอยากมันฉุดกระชากไปเลย เพราะคิดด้วยเรา เรามีการกระทำนี่ มันบวกกับเราไปตลอดเวลาเห็นไหม

ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความคิด พอมันคิดมันจะดึงเราไปนี่ มีปัญญาเตือน ปัญญาให้มันหยุดยั้งได้ ปัญญาที่มีสติปัญญาเห็นไหม มันไม่ตามไป เอ่อ... มันโล่งนะ มันไม่เหนื่อยหอบไปกับเขา ถ้ามันเหนื่อยหอบไปกับเขา นี่ปัญญารอบรู้ในกองสังขารนะ

แล้วถ้าปัญญารอบรู้ในจิตล่ะ ปัญญารอบรู้ในตัวของมันเองล่ะ ปัญญานี่มันมีการประพฤติปฏิบัติ ปัญญาของคนมันแตกต่างหลากหลาย บางคนมีเชาว์ปัญญามาก บางคนมีเชาว์ปัญญาปานกลาง บางคนมีเชาว์ปัญญาน้อย แล้วแต่ความคิดของใคร

แต่คนที่เชาว์ปัญญาน้อยแต่มีบุญกุศลของเขา ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จไป เรามีปัญญามาก เรามีความทุกข์ความยากนะ ปัญญาส่วนปัญญา บุญกุศลส่วนบุญกุศล สิ่งต่างๆ หลากหลายอย่างนี้ มันมีขึ้นมานี่

ถ้ามีสติเห็นไหม เราควบคุมได้หมดเลย ถ้ามีสติปั๊บเราก็ยับยั้งตัวเราได้ ยับยั้งความคิดของเราได้ ยับยั้งในสิ่งต่างๆ ได้ พอยับยั้งได้นี่ เราก็เป็นอิสรภาพ กับตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามีตัณหาความทะยานอยาก มันจะฉุดกระชากเราไป แล้วถ้าเรามีตัณหาทะยานอยากด้วย ไม่มีสติด้วยเห็นไหม เราเป็นเหยื่อนะ.. เราเป็นเหยื่อ

ดูสิ เราไม่ต้องการเป็นเหยื่อของใคร เวลามีเหตุการณ์สิ่งใดเกิดขึ้นนี่ พอเรารู้ว่าเราเป็นเหยื่อนี่ มันก็เสียใจนะ แต่ถ้าเราไม่เป็นเหยื่อของเขา เห็นไหม นี่ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เราพึ่งตัวเราเองได้ เราจะไม่เป็นเหยื่อของใคร

คนที่พึ่งตนเองได้ มีสติปัญญาของเรานี่ เราควบคุมได้หมด เรารอบรู้ได้หมด ถ้าเราควบคุมได้หมดนี่ ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงหนึ่งเราควบคุมได้นี่ ใจดวงหนึ่งอย่างนี้เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่ามันเป็นสายบุญสายกรรม มันเป็นผลของวัฏฏะ

ถ้าวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาจากสภาคกรรม เราต้องรักษาใจเราไว้ให้ได้ก่อน ถ้าเรารักษาใจของเราไว้ให้ได้เห็นไหม นี่ร่มโพธิ์ร่มไทร นี่ถ้าเรารักษาตัวเราได้ ทุกคนมันก็อาศัยเราได้ ถ้าตัวเองเรายังรักษาตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะรักษาตัวเรา ถ้ารักษาตัวเราได้..

นี่พอพูดอย่างนี้ปั๊บนี่ เขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาเห็นแก่ตัว อะไรก็เอาแต่ตัวเองให้รอด ตัวเองให้รอด ก็ตัวเองยังเอาตัวเองให้รอดไม่ได้ แล้วจะไปช่วยเหลือใครล่ะ แต่ในเมื่อกระแสสังคมใช่ไหม สังคมเกิดขึ้นมา เราอยู่ในสังคม สังคมอย่างไรเราก็เจือจานกันไป เป็นเรื่องของสังคม

เวลาพูด นี่ธรรมของผู้บริหารเห็นไหม นี่ถ้าพูดถึง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เราเมตตาเราช่วยเหลือทั้งนั้นล่ะ สังคมเราก็อยากเจือจานเขา แต่มันหยาบเกินไป มันหยาบเกินไปที่เขาจะรู้ได้ เขารู้กับเราไม่ได้นะ อุเบกขา อุเบกขาของเขานี่มันสลดสังเวชไง ทำไมปัญญาอย่างนี้ ทำไมความรู้สึกอย่างนี้

แต่ถ้าถึงเวลาเราคิดถึงล่ะ เวลามันถึงความจำเป็นขึ้นมาล่ะ ชีวิตของคนมีความจำเป็นนะ มีความจำเป็น มีความหลายหลาก ความจำเป็นอันนั้น เราก็ต้องเอาชีวิตของเราให้รอดมาได้ ถ้าเอาชีวิตรอดมาได้นี่ ความที่เรารอดมาแล้ว เราจะทำคุณงามความดีให้มากกว่านั้นก็ยังได้

ถ้าทำคุณงามความดีมากกว่านั้นนะ เพียงแต่เวลาเราภาวนานี่ ถึงที่สุดนะเวลาเราวิกฤตขึ้นมานี่ มันจะพูดออกมาว่า ตายๆๆๆ นี่ มันจะเอาความตายมาบังคับเรา เอาความตายนี่มาต่อรองกับเรา แล้วเราจะใจอ่อนกับมัน ว่าเราต้องยอมมัน ผ่อนปรนไปก่อน แต่ถ้ามีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ นี่อะไรตาย ขอดูหน้าความตายนั้นก่อน อะไรจะตายก่อนตายหลังเห็นไหม พอพ้นผ่านนั้นไปนี่ ความตายนั้นไม่มี

เราจะบอกว่า ถึงคนเรามันเกิดจะวิกฤตขึ้นมานี่ เราต้องหาทางรอด เราต้องพยายามเอาชีวิตของเรารอด เพื่อทำคุณงามความดีต่อไป แต่เวลาพอปฏิบัติขึ้นมานี่ เวลาความตายขึ้นมานี่ อันนี้เป็นความจริงหรือเปล่าล่ะ นี่ เวลาเราบอกว่าวิกฤตๆ นี่ วิกฤต จริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าวิกฤตจริง ความวิกฤตนั้นเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด นี่เวลาพอปฏิบัติขึ้นไปนี่ เวลาอดนอนผ่อนอาหารนี่ เวลาจิตมันโดนสติปัญญาควบคุมเข้าไปนะ ถึงจนตรอกของมันนี่ มันจะหาทางออกของมัน เวลาหาทางออกมันจะดิ้นรนเห็นไหม

นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดประจำ ปัญญามันจะเกิดต่อเมื่อจนตรอกจนมุม เวลาเรามีสัจจะ เรามีความจริงกับจิตของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราไม่ยอมพ่ายแพ้กับมันนะ นี่มันถึงที่สัจจะ ปัญญาที่เป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่มันจะเอาตัวรอด ไม่ใช่รอดจากวิกฤตนะ รอดจากภพชาติ รอดจากความเป็นอยู่ของมัน มันเอาตัวรอดได้ มันแก้ไขปลดเปลื้องปัญญาอย่างนั้นออกมาได้

นี่ไง ปัญญามันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเกิดวิกฤต เกิดขึ้นเมื่อมีสติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา มันเกิดขึ้นมา มันพัฒนาของมันขึ้นไป นี่ปัญญา ถ้ามันเกิดขึ้นมาขนาดนั้นเห็นไหม สิ่งใดมันจะวิกฤตขนาดไหน เวลาเรานั่งภาวนาไปน่ะ เอาละหมดเวลาแล้ว เดี๋ยวเอาไว้ก่อน ต่างๆ เห็นไหม

ถ้าเรามีสัจจะสู้กับมันไป หลานเวทนา ลูกเวทนา พ่อเวทนา ปู่เวทนาเห็นไหม ความคิดเหมือนกัน กิเลส.. หลานกิเลส ลูกกิเลส พ่อกิเลส ปู่กิเลส กิเลสมันยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งมีมารยาสาไถยมาก ถ้ามีมารยาสาไถยมากเห็นไหม เดี๋ยวจะพิการ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้

นี่ถ้าเรามีสัจจะ พอเราผ่านพ้นสิ่งนี้ไปนี่ พอมันผ่านพ้น มันปล่อยไปเห็นไหม ปัญญาที่รอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาที่รู้จากสติของเรา เวลาปัญญามันไล่เข้ามา.. มันปล่อย คำว่าปล่อย คืออารมณ์ที่มันมีความจำเป็น อารมณ์ที่มันคิดว่าสิ่งนี้มีคุณค่านี่ เวลามันปล่อยไปแล้วนะ..

หลวงตาท่านบอกเลยนะ “เวลาจิตนี่ว่างไปหมดเลย มองดูภูเขาเลากานี่มันทะลุไปหมดเลย” นี่เป็นความว่าง มีความสุขมากเลย แต่เวลาท่านพิจารณาของท่านเข้าไป จุดและต่อมของความว่าง เห็นไหม เวลาทิ้งมันบอก ความว่างในกองขี้ควาย

ความหยาบนี่ เวลาเราอยู่กับมันนี่ เราว่าละเอียดลึกซึ้งมากนะ แต่เวลาถ้ามีปัญญารอบรู้ขึ้นมา แล้วปล่อยมันทิ้งไปนี่ มันต่างกันเลย มันต่าง ที่มันเกิดเพราะอะไร มันเกิดจากปัจจัตตัง เกิดจากสันทิฏฐิโก ไม่ได้ต่างด้วยการเยินยอของใคร ไม่ได้ต่างด้วยการให้คุณค่ามัน ไม่ได้ต่างด้วยการโต้เถียงด้วยวาจา ใครมีแพ้ชนะกัน มันต่างเพราะเป็นสันทิฏฐิโก มันต่างเพราะการกระทำ มันต่างเพราะความเห็น มันต่างเพราะหัวใจที่มันสัมผัส

อย่างเช่น อาหารนี่ เขาบอกอาหารนี่รสชาติดีมาก แค่ได้สัมผัส.. เราก็ได้ยินแต่ว่ารสชาติดีมาก แต่วันไหนถ้าเราได้สัมผัสแล้วนะ เราได้ลิ้มรสแล้วนะ รสชาติดีหรือไม่ดี เรารู้ของเราขึ้นมานะ

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขึ้นมานี่ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาต่างๆ มันเกิดขึ้นมานี่ ปัญญาอย่างนี้ที่มันเกิดขึ้นมานี่ ปัญญาๆ ก็ว่ากันไป ปากเปียกปากแฉะนะ แล้วก็ว่าตัวเองรู้ใช่ไหม แล้วปฏิภาณไหวพริบใครดีกว่า ก็ว่าปัญญาลึกซึ้งกว่า แต่มันไม่เป็นความจริง

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันเข้าไปถึงหัวใจขึ้นมา ถ้ามันมีการปล่อยวางของมันขึ้นมา มันมีการกระทำขึ้นมา นี่สันทิฏฐิโก ปัญญาอย่างนี้เห็นไหม ปัญญาที่มันชำระกิเลสนี่ ปัญญาๆ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาของใครล่ะ เวลาเขาคดโกงกัน เขาฉ้อฉลกันนะ เขาคิดกันจนเราตามเขาไม่ทัน อันนั้นเป็นปัญญาไหม

มันมีสัมมากับมิจฉาไง ถ้าเป็นมิจฉาปัญญา ปัญญาที่ทำร้ายเขา ปัญญาที่เบียดเบียนคนอื่น ปัญญาที่สร้างแต่เวรแต่กรรม นั่นก็เป็นปัญญาอันหนึ่ง เห็นไหม ปัญญาของเทวทัต

แต่ถ้าปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาผู้เสียสละ แต่การเสียสละเราเสียสละออกไปแล้ว เขาบอกว่า เราไม่เห็นได้สิ่งใดนี่ ได้! ได้บุญบารมี!

บารมีเห็นไหม เวลาคนเขามีอำนาจวาสนามาก บอกไม่มีบารมี คือว่าเขาร่ำรวยของเขา แต่เขาไม่มีบริษัทบริวารของเขา บางคนนี่ไม่มีฐานะอะไรเลยนะ แต่เขามีบารมีของเขานะ ทุกคนเชื่อถือศรัทธาเขา ทำไมเขาเกิดบารมีล่ะ นี่ไง นี่อยู่ที่การเสียสละนี่ไง ที่ว่าเราเสียสละไปสิ่งใด เราไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย มีแต่เสียหายไป นั่นล่ะสร้างบารมี

คำว่าสร้างบารมี แต่เราสร้างบารมี เราก็ต้องดู สร้างบารมีสมควรหรือไม่สมควร สถานะของเราเห็นไหม

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกเราหาปัจจัยมาได้เห็นไหม หาเงินมาได้บาทหนึ่ง เราต้องเก็บไว้เป็นทุนเป็นรอนเรา ๑ สลึง เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ของเราเห็นไหม นี่แล้วเราเก็บไว้เผื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ที่เหลือแล้วค่อยทำบุญ เขาเรียก “ถมไว้ในแผ่นดิน”

เราเหลือไว้ทำบุญ นี่ขุดฝังดินไว้.. ฝังดินไว้เพราะเหตุใด ฝังดินไว้ให้เราเกิดมาภพชาติของเรา เราเกิดมาในพุทธศาสนา เราฝังไว้ในพุทธศาสนา ฝังความดีความงามไว้ คำว่า “ฝังไว้ในแผ่นดิน” ใครเป็นคนฝัง ใครเป็นคนเจตนาทำบุญ ถ้าจิตนั้นไม่มีเจตนาทำบุญ ใครเป็นคนทำมัน มันฝังไว้ในพุทธศาสนา ก็ฝังไว้ในพุทธะนั่นนะ ฝังไว้ในหัวใจนั่นนะ

แต่เราบอกฝังไว้ในแผ่นดิน ก็ฝังไว้กับโลกใช่ไหม เราจะไม่ได้สิ่งใดไปเลย นี่ ไอ้นั่นมันแร่ธาตุ แร่ธาตุต่างหากเราฝังไว้ในแผ่นดิน แต่พุทธศาสนา ..มันฝังไว้ในพุทธะ ..ฝังไว้ในหัวใจพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้สึกไง ..มันฝังไว้ในเมล็ดพันธุ์พืชในหัวใจนี่ มันฝังของมันไป ถ้ามันพัฒนาของมันขึ้นไป มันดีของมันขึ้นไปเห็นไหม นี่เราเสียสละธรรมของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

ถ้ามีปัญญาขึ้นมามันเห็นประโยชน์กับเรานะ นี่ดูสิ เวลาเราเสียสละกันน่ะ โยมเสียสละต่างๆ เห็นไหม แต่เวลาเรานั่งภาวนากันนี่ เราเสียสละอะไร บุญ.. กิริยาวัตถุ แล้วเราเสียสละ ตัณหาความทะยานอยาก เสียสละไอ้ความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจ เสียสละมันให้หมด นั่งอยู่โคนต้นไม้เราก็เสียสละได้ เราก็ทำบุญกุศลของเราได้

ถ้ามีปัญญา คนมีปัญญา เห็นเขาทำบุญกุศล เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เราก็ได้บุญกับเขา ถ้ามีปัญญาเราทำของเราได้ เห็นคุณงามความดีสิ เราสาธุ เราถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมาตลอด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาเผยแผ่ธรรม นี่ไปที่ไหน ถ้าที่ไหนเขาศรัทธาเชื่อถือก็เป็นบุญกุศล ที่ไหนเป็นเดียรถีย์ นิครนถ์ คนเขาก็พยายามต่อต้าน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะวางธรรมไว้ให้เรา ให้เป็นธรรมของเราขึ้นมา จนกว่าสาวก สาวกะ จะมั่นคงขึ้นมา นี่ท่านต้องทำของท่านเพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลก

เราเกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาในโลก และพุทธศาสนา เห็นไหม นี่เรื่องของโลกนะ ถ้าสิ่งใดดีหมด พระบวชมานี่ก็ต้องดีหมดสิ ไอ้ที่โลกเขาทำกันนี่ เขาบวชเป็นพระขึ้นมานี่ เขาเป็นพระ พระในญัตติจตุตถกรรม แต่หัวใจเขาเป็นอะไรล่ะ ถ้าหัวใจเขาเป็น เขาต้องเห็นเสียสละ เขาต้องทำของเขาได้

นี่หลวงตาท่านพูดประจำ ..พระเสียสละไม่ได้ ใครจะเสียสละ.. พระเสียสละได้ แต่ถ้าเสียสละทำไมครูบาอาจารย์โกรธเป็นไฟเลย นี่ๆไม่ใช่โกรธเป็นไฟ นี่พยายามจะตีกระหนาบให้มันเสียสละเรื่องทิฏฐิมานะในใจ ไอ้ทิฏฐิที่ยึดมั่นในใจ อันนั้นเสียสละอันนั้น มันจะเสียสละได้ ถ้ามันไม่มีธรรมะเข้าไปทิ่มแทงมัน ธรรมะคือการแสดงธรรมนี่ เข้าไปทิ่มแทงหัวใจอันนั้น ให้หัวใจอันนั้นมันปล่อยวางอันนั้น นี่การเสียสละเห็นไหม

แล้วเสียสละเป็นฟืนเป็นไฟ อ้าว.. เป็นฟืนเป็นไฟเพื่อจะเผาไหม้ตบะธรรมไง เผาไหม้ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนั้นออกไปจากใจไง นี่แต่เราไม่เข้าใจ การเสียสละก็ต้องโอ๋กันไป ก็โอ๋กันมานะ มันก็เหมือนกับคนว่ายน้ำไม่เป็นช่วยคนจมน้ำ มันจะพากันจมไปหมดไง

ครูบาอาจารย์ของเราถ้ามีคุณธรรมขึ้นมานะ ท่านจะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน แล้วท่านจะมีหลักเกณฑ์ มีการชี้นำ มีการพยายามชักจูงไง นี่มรรคหยาบ มรรคละเอียดไง สิ่งที่ศึกษามา รู้ขนาดไหนนี่ มันเป็นการจำมา เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ มันก็หยาบๆขึ้นมา

คำว่าหยาบๆ เห็นไหม พอเจอสมาธิขึ้นไปนี่ โอ้โฮ.. นี่นิพพาน ขณะไม่ได้สมาธิก็ว่างๆๆ พอเจอสมาธิจริงก็ว่านิพพาน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดๆ เลยเห็นไหม นี่สิ่งนี้มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ สิ่งที่มันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นการสัมผัส มันไม่ใช่ตำราหรอก สมาธิเราก็คาดหมาย ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ปัญญานี่ โห.. กูคิดทุกวันเลย นอนนะ.. ปัญญายังกระจายเลย

นี่มันคิดเอาเอง มันไม่เป็นความจริง แต่เพราะการกระทำอย่างนี้ กิริยาอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมันมาหมดแล้วล่ะ ถึงเวลาผ่านขึ้นมาเห็นไหม พยายามแก้ไข พยายามดึงขึ้นมา ชักนำขึ้นมา เพื่อประโยชน์ไง มันไม่ใช่ไฟนะ

ถ้าเป็นไฟมันจะเป็นโทสะ มันเป็นการเบียดเบียน ไม่เป็นเป็นประโยชน์กับใครเลย แต่เวลาแสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมะนี่ ตบะธรรมนี่ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวงนี่ มันจะรุนแรงขนาดไหน มันเข้าไปชำระล้างกิเลส มันจะไม่เบียดเบียนใคร มันจะมีแต่ความชุ่มชื่น มันมีแต่ประโยชน์

แต่เวลาออกมานี่ ฝนตกแดดออก ฟ้าร้องครืนๆ แต่มันเป็นประโยชน์กับโลก ฝนตกแดดออกขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับโลกนะ แต่คนไม่เข้าใจ มันไม่ต้องการ มันบอกว่าอันนี้นี่เป็นโทสะ เป็นโทสะเห็นไหม นี่พูดถึงไฟ

พูดถึงปัญญา เราเป็นชาวพุทธ เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม เราทำของเรา นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความคิดหยาบๆ เขาก็ว่าไปอย่างหนึ่ง เราจะเชื่อถืออย่างนั้นไม่ได้ เราคิดว่าใครจะพูดเราก็เชื่อถือไปหมด.. ไม่ใช่!!

เราต้องใช้ปัญญาของเรา เพื่อกลั่นกรองของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เราเกิดมากับโลก เราก็มีปัญญาของเราเหมือนกัน เราก็มีชีวิตของเราเหมือนกัน เราก็คิดเป็นเหมือนกัน เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อชีวิตของเรา เอวัง